เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๑๔ เม.ย. ๒๕๔๗

 

เทศน์เช้า วันที่ ๑๔ เมษายน ๒๕๔๗
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

เทศน์เช้า วันที่ ๑๔ เมษายน ๒๕๔๗
ณ วัดสันติธรรมาราม ต.คลองตาคต อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

พูดถึงเวลาธรรมะ ถ้าธรรมะ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ตรัสรู้ธรรมนะ โลกนี่พระอาทิตย์ก็ขึ้นอย่างนี้ตกอย่างนี้นะ มันจะมืดมันจะสว่างตามธรรมชาติของมันแบบนี้ แต่คนเรานะ ตาเห็นปกตินี่ล่ะ แต่ตาบอดตาใสไง จะมองไม่เห็นสิ่งนี้เลย

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าต้องรู้สภาวะแบบนี้ รู้เรื่องของกิเลสรู้เรื่องของธรรมทั้งหมด เรื่องกิเลสเรื่องของธรรมแล้วตรัสว่าให้พวกเราประพฤติปฏิบัติ ถ้าเป็นชาวพุทธให้ทำทาน ให้มีศีล ให้มีทานให้มีศีลเพื่ออะไร เพื่อให้ชีวิตนี้ดำรงไปได้โดยปกติ ถ้ามีทานมีศีลสังคมจะสงบร่มเย็น แล้วก็มีปฏิบัติ มีทาน ศีล ภาวนา มีปัญญา ปัญญารอบรู้ในกองกิเลสชำระกิเลสได้

ธรรมอันนี้เกิดขึ้นมาจากใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก่อน รู้จริงเห็นจริงนะ มีศาสดาองค์เดียวที่ปฏิญาณตนว่าเป็นพระอรหันต์ ไม่มีศาสดาของศาสนาใดปฏิญาณตนเป็นพระอรหันต์ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปฏิญาณตนกับปัญจวัคคีย์ก่อน “เคยได้ยินได้ฟังไหมว่าเราเป็นพระอรหันต์ เราสิ้นจากกิเลสแล้ว ให้เงี่ยหูลงฟัง” แล้วองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็วางธรรม กัมมะพันธุ กรรมเป็นเผ่าพันธุ์ กรรมเป็นที่พึ่งอาศัย กรรมจำแนกสัตว์ให้เกิดต่างกัน เรื่องของสภาวะกรรมทั้งหมดเลย

แต่ถ้าทางวิทยาศาสตร์ เราเป็นวิทยาศาสตร์ เดี๋ยวนี้โลกเจริญมาก เรื่องของศาสนาความเจริญของหัวใจ ความเจริญของปัญญาภายในชำระกิเลสได้ เชื้อโรคเชื้อภัยในหัวใจสิ้นไปจากกิเลส แต่ทางวิทยาศาสตร์เวลาเจริญขึ้นมา เห็นไหม ในปัจจุบันนี้พยายามจะคิดค้นคว้ากัน ในการตัดต่อพันธุกรรม สิ่งใดที่เป็นสิ่งที่ด้อยลักษณะด้อยของการเกิดมาโรคภัยไข้เจ็บจะตัดสิ่งนั้นออก เพื่อจะให้คนเกิดมาแล้วนี่ให้คนสมบูรณ์ที่สุด

นี่เวลาเกิดขึ้นมาแล้ว ร่างกายเกิดขึ้นมาแล้วก็ยังมีการทำศัลยกรรมตบแต่งให้มันดูสวยดูงามตามแต่ความพอใจของกิเลส ของความเป็นไปของวัตถุนิยม เราว่าวัตถุนิยมเป็นผู้ที่มีปัญญา ใช้วิทยาศาสตร์เข้าไปสัมผัสไง คือว่าใช้ความเห็นของโลกเข้าจับเรื่องของกรรม มันเป็นไปไม่ได้ ความเห็นของเรา เรื่องของต้นไม้ ถ้าเราไม่พอใจเราก็ตัดกิ่ง เราก็ทาบกิ่ง เราก็ต้องบังคับให้เป็นตามความพอใจของเรา เพราะเราว่าเราควบคุมธรรมชาติ เราควบคุมวิทยาศาสตร์ทั้งหมด เรานี่มีอำนาจทั้งหมด

แต่เวลาเราสร้างบ้านเรือนไว้ขนาดไหน พายุไซโคลนเข้ามานะ จะมั่นคงขนาดไหน ราบเป็นหน้ากลองเลย เราจะสร้างตึกความมั่นคงขนาดไหนกับโลกนี้นะ เกิดแผ่นดินไหวมันจะพังทลายไปทั้งหมดเลย สิ่งนี้มันเป็นไปตามธรรมชาติ เราควบคุมได้ไหม? ถ้าเราควบคุมไม่ได้ แต่เรื่องทางวิทยาศาสตร์เราควบคุมสิ่งนี้ได้ เราว่าเราควบคุมได้ เราควบคุมการเกิดได้ เราควบคุมสิ่งที่เกิดขึ้นมา แล้วไม่ให้มันเป็นไปตามแต่พันธุกรรมอันนั้น

พันธุกรรมนะ พ่อแม่ทำไมลูกมาเกิดกับพ่อแม่คนนั้น เห็นไหม เศรษฐีมหาเศรษฐีอยากมีลูกมีหลานมากเลย ทำไมไม่มาเกิด ทำไมไปเกิดกับคนทุกข์คนยากล่ะ เพราะจิตมันมีอำนาจวาสนาขนาดนั้น แล้วถ้าจิตดวงนั้นไปเกิดกับพ่อแม่ที่ว่าพันธุกรรมเป็นแบบนั้นมันก็เป็นเรื่องของกรรม เรื่องของกรรม กัมมะพันธุ กัมมะเป็นเผ่าพันธุ์ กรรมเป็นเผ่าพันธุ์ของจิตดวงนั้น จิตดวงนั้นตามสภาวะแบบนั้น นี่เรื่องของกรรม สภาวะกรรมตามแต่ธรรมไง แต่เรื่องของโลกทางวิทยาศาสตร์เขาคิดสภาวะแบบนั้น

นี่เหมือนกัน ต้องแสวงหากัน แสวงหาอำนาจกัน ถ้าแสวงหาอำนาจแล้วเอาอำนาจกดขี่กัน กดขี่กันเพื่ออะไร เพื่อความสะใจไง กิเลสเพื่อความสะใจ แต่ธรรมนะ เราไปตามประสาธรรม ธรรมของเรานะ ธรรมเป็นผู้ให้ ธรรมเป็นผู้เสียสละ สิ่งนี้ถ้ามันมีเก้าอี้หนึ่งตัว ๒ คนจะแย่งกันนั่ง เราสละให้เขานั่งซะ เราได้บุญกุศล แต่ถ้าเป็นกิเลสนะเราเสียศักดิ์ศรี เราเสียหน้า เราเสียโอกาสของเรา เรามันไม่พอใจ แล้วเข้าไปในสังคมมันต้องเรื่องหน้าเรื่องตาเรื่องเป็นไปนะ

นี่เรื่องของโลก การนี้ควบคุมไม่ได้ แต่ถ้าคนทำกรรมไว้มันก็เป็นโอกาสนะ เป็นโอกาสว่าจะทำให้สิ่งนั้นว่างให้เรานั่งได้ การทำบุญกุศลมันมีบุญตรงนี้ เวลาจนตรอกขึ้นมานี่มันจะมีคนมาช่วยเหลือ มันจะมีความเป็นไปของมันได้ นี่เรื่องของกรรม เรื่องของบุญกุศล ถ้าเรื่องบุญกุศลทำดี เราถึงทำความดีของเรา เราไปตามแต่กรรมของเรา เราเสี่ยงบุญเสี่ยงกรรมไปตามนั้น นี่คือกรรม

แต่การที่ว่าเรื่องของโลกเขาต้องจัดตั้งกันมา เขาต้องเป็นไปอย่างนั้นเพื่อเรื่องของโลก แต่สุดท้ายแล้วเขาสบายใจไหม เขาทำแล้วเขาสะใจ ความสะใจของเขา แต่ความสะใจอันนั้นกัมมะพันธุ กรรมนี้เป็นเผ่าพันธุ์ กรรมนี้เป็นกระทำกับใจดวงนั้น ใจดวงนั้นทำอะไรรู้นะ ความลับไม่มีในโลกกับใจที่ทำ แต่เราไปด้วยความบริสุทธิ์ใจ

เวลามีสิ่งกระทบกระทั่งขึ้นมานี่มันก็สะเทือนใจเรา เพราะอะไร? เพราะเรามีกิเลส สิ่งนี้สะเทือนใจเราบ้าง เพราะมันสะเทือนใจของเรา มันถึงเป็นความทุกข์ให้กับเรา ถ้าเราไม่ทันมัน แต่ถ้าเราทันมันนะ นี่คือเรื่องของเรา สิ่งที่การกระทำนั้นการกระทำจากภายนอก แต่เวลากระเทือนใจของเรา ถ้าสิ่งนี้กระเทือนใจของเรา เราต้องแก้ไขตรงนี้ ถ้าเราแก้ไขตรงนี้ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนตรงนี้

สังคมจะมีความร่มเย็นเป็นสุขเกิดจากจุดหน่วยของสังคมนั้น หน่วยของสังคมนั้นคือครอบครัวหนึ่ง ครอบครัวหนึ่งก็มีลูกมีพ่อมีแม่มีสิ่งต่างๆ ในครอบครัวนั้น ถ้าครอบครัวนั้นในสังคมนั้นในใจดวงหนึ่ง ทุกใจดวงใจเป็นดวงใจที่เป็นมงคลเป็นประเสริฐจะมีความสุขร่มเย็นกับดวงใจนั้นกับครอบครัวนั้นกับสังคมนั้น เราถึงเป็นผู้เสียสละ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนอย่างนั้น

พุทธศาสน์สอนอย่างนี้ไง สอนว่าการให้อภัยเขาไป ถ้าเรายิ่งให้อภัยนะ สิ่งที่เขาทำผลจะรุนแรงมาก เหมือนกับเช่นในวินัย ถ้าของที่เรายึดถืออยู่นี่อาบัติยังไม่ถึงที่สุด ถ้าเราสละเราทอดอาลัยอาบัติจะเกิดกับเขาทันทีเลย เรื่องของความให้อภัยเขามันก็ให้ผลกันตรงนี้ ถ้าให้ผลตรงนี้ ผู้ที่ทำกับคนที่ไม่โต้ตอบ เวลาทางโลกเขานี่สุภาพบุรุษไม่รังแกสุภาพสตรี เพราะสุภาพสตรีเป็นผู้ที่อ่อนแอไม่ควรกระทำ ไม่ควรรังแกสุภาพสตรี

แต่หัวใจของผู้ที่มีธรรมนะ จะไม่มีการกระทบกระทั่ง จะไม่มีการโต้แย้ง จะไม่มีการสิ่งใด จะรักษาใจของตัว จะดูใจของตัว แล้วผู้ที่กระทำกับใจดวงนั้นมันจะมีผลขนาดไหน นี่ฟังสิ มันเป็นกรรมที่น่ากลัวมาก แต่สิ่งที่เขาทำเขาไม่คิดของเขา เขาทำของเขาเพื่อความสะใจของเขา เขาทำแล้วเขาได้ประโยชน์ของเขา สิ่งที่ประโยชน์ของเขา นี่กัมมะพันธุ กัมมะปะฏิสะระโน กัมมะนี้จะต้องทำเป็นไปตามสภาวะแบบนั้น นี้คือตาขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเห็นสภาวะแบบนี้

เราสวดมนต์กันทุกวัน เราเอาสิ่งนี้มาสอนใจเราได้ไหม ถ้าเราเอาสิ่งนี้มาสอนใจเราไม่ได้ เวลากระทบกระทั่งก็ดูความเป็นไปของใจเรา ใจเราจะกระทบกระเทือนขนาดไหน ถ้ามันจะกระทบกระเทือนขนาดไหนนี่คือการฝึกเรา นี่การทรมานเรา การสละออก การสละสิ่งนี้ออก การสละสิ่งที่ว่ามันกระทบกระเทือนใจของเรา เรานักปฏิบัติ ผู้ที่ประพฤติปฏิบัติอยากวิปัสสนา อยากจะใคร่ครวญนัก อยากจะใช้ปัญญา ขณะที่เราเผชิญศึก เห็นไหม

เวลาผู้ที่เป็นชาวพุทธเรานะ เวลาเกิดขึ้นมานี่จากลูกจากหลาน จากคนใกล้ชิดเสียชีวิตไปจะสะเทือนใจมาก ทำให้เสียใจจนแบบว่าไม่ยอมรับสิ่งนั้น จะเรียกร้องสิ่งนั้นกลับคืนมา แต่ถ้าได้สติขึ้นมานี่ นี่เวลาเข้าสงคราม เข้าสงครามดูใจของเราที่มันกระทบแล้วมันกระเพื่อมมาก มันโดนแบบอารมณ์พายุพัดเข้าไปในหัวใจจนหัวใจนี้จะปั่นป่วนไปหมดเลยนี่ เราจะรักษาสิ่งนี้ได้อย่างไร เหมือนกับยาเลย ยาอยู่ในตู้เราซื้อประจำบ้านไว้มาก อยู่ในตู้ เจ็บไข้ได้ป่วยก็ไม่ได้กินยา

นี่ก็เหมือนกัน เป็นชาวพุทธว่าประพฤติปฏิบัติๆ แต่เวลาเกิดพายุ เกิดภัยไข้เจ็บโรคภัยขึ้นมาจากหัวใจ ไม่มียาอันนั้น สติไม่มีก็หลงไปกับเขานะ จนครูบาอาจารย์เตือน เห็นไหม เหมือนกับนางวิสาขา เวลาหลานตายร้องไห้ๆ ร้องไห้ไปหาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระโสดาบันนะ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกว่า “วิสาขา ถ้าในโลกนี้เขาเป็นหลานเธอทุกๆ คน เธอจะไม่ต้องร้องไห้ทุกวันเหรอ เพราะคนเกิดและคนตายในโลกนี้มีประจำวัน” สถิติคนตายวันละกี่คน “ถ้าเป็นหลานเราหมด” นี่สติกลับคืนมา สติกลับคืนมาปล่อยหมด ความเสียใจหลุดออกไป

สัจจะความจริงเป็นแบบนี้ กรรมเป็นแบบนี้ สิ่งนี้คือสภาวะตามความเป็นจริง แต่หัวใจเรามันไม่ยอมรับสิ่งนี้ มันถึงปั่นป่วนกับสิ่งนี้ ผู้ที่ไม่ประพฤติปฏิบัติเขาก็ต้องรับทุกข์รับเคราะห์ไปตามสภาวะของใจที่ไม่มีปัญญา ถ้าใจของผู้มีปัญญา แต่ยาอยู่ในตู้ไม่ได้เอามากิน ก็เหมือนกับใจนี้เป็นกุปปธรรม คือว่ามันรับรู้สิ่งต่างๆ มันเป็นสัญญาความจำ แต่นางวิสาขาเป็นพระโสดาบันสติพร้อมอยู่ แต่พร้อมอยู่กิเลสอันละเอียดมันก็ไม่ยอมรับสิ่งนี้ว่าหลานเราตาย ไม่ต้องการให้หลานเราตาย

นี่ก็เหมือนกัน เราไปประสบสิ่งใด เราไปเจอสิ่งใด เราเข้าไปในสภาวะของสังคมโลก นี่มันกระทบกระเทือนใจของเรามา เราก็ต้องเข้ามาดูใจของเรา เราดูใจของเรา เรา รักษาใจ รักษาใจของเราอะไร เพราะมหาบุรุษคนหนึ่งทำคุณงามความดีกับโลกนี้เป็นการสร้างบารมี องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะปรินิพพานนะ เดินไปที่กุสินารา ผ่านแม่น้ำ “อานนท์ เราหิวกระหายเหลือเกิน ตักน้ำมาให้เราฉันเถิด เพราะเราหิวกระหาย” ร่างกายมันเหมือนกับรถ แต่หัวใจมันเหมือนกับผู้ที่พ้น แล้วเจ้าของรถ คนขับรถกับรถ รถต้องการเติมน้ำมัน

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ได้ทุกข์หรอก แต่ต้องการดื่มน้ำเพื่อจะบรรเทา ให้ร่างกายนี้บรรเทาแล้วเดินต่อไป พระอานนท์จะไปตักน้ำ กองเกวียนหนึ่งกำลังข้ามน้ำไป น้ำนั้นเป็นขุ่นเป็นตม พระอานนท์บอกว่า

“นิมนต์องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไปฉันข้างหน้าเถิด อันนี้น้ำสกปรก”

“อานนท์ เรากระหายเหลือเกิน ตักมาเถิดๆ”

พอตักมาน้ำนั้นใสตลอดเลย แล้วนี่พระอานนท์ตื่นเต้นกับสิ่งนี้มาก สิ่งใดสิ่งหนึ่งไม่เคยมี เพราะเป็นน้ำขุ่นๆ แล้วตักนี่มันใสเฉพาะตรงหน้า มันเป็นความมหัศจรรย์มาก ทั้งๆ ที่พระอานนท์เป็นพระโสดาบันนะ แต่ก็ไม่เข้าใจสิ่งนี้ไง มาถามองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไง

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอก นี่กรรมของท่าน แต่ชาติหนึ่งท่านเคยเป็นพ่อค้าโคต่าง ด้วยความปรารถนาดีไม่ต้องการให้โคกินน้ำที่สกปรก น้ำที่เขาเป็นพ่อค้าโคต่างนั้นให้ไปกินข้างหน้า กรรมนั้นให้ผลท่าน แต่บารมีธรรมไง บารมีธรรมที่ว่าท่านเป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า กรรมมันต้องให้ผลอย่างนั้น แต่บารมีธรรมอันนี้ก็ทำให้น้ำนั้นใสได้

นี่ก็เหมือนกัน มหาบุรุษองค์หนึ่งสามารถทำโครงการถึงสิ้นสุด แล้วเราเจอสภาวะแบบนี้ ทำไมความสะเทือนใจนั้นเราไม่ย้อนกลับมา บารมีธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าหนึ่ง บารมีธรรมของครูบาอาจารย์หนึ่ง แล้วนี่ก็บารมีธรรมของเรา เราไปร่วมงาน เราไปส่งเสริมงานสิ่งนั้น เราต้องไปเพื่อคุณงามความดีไง แต่สิ่งกระทบ ถึงกรรมมันมาให้ผล น้ำขุ่นๆ นั้นก็ใสได้

สิ่งนี้ก็เหมือนกัน เราไปกันด้วยบุญกุศล ด้วยความตั้งใจของเรา ไปเชิดชูครูบาอาจารย์ของเรา มันก็สำเร็จประโยชน์ไปได้หมด นี้คือบุญของเรา ถ้าเรามีบุญของเรา นี่ ย้อนกลับมาแล้วเราภูมิใจของเรา

สิ่งนี้เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นจากใจของทุกๆ ดวงนะ ใจของทุกดวงเป็นผู้ที่ประสบ ใจของทุกดวงเป็นผู้เห็น ใจของทุกดวงเป็นผู้ที่กระทำมา สิ่งนั้นมาสอนใจตนเองเป็นปัจจัตตัง สิ่งที่เป็นปัจจัตตังเราจะพูดให้ใครฟังไร้สาระ เขาไม่ฟังหรอก เขาเหมือนกับหมาชูหางไง หมามันจะขี้มันต้องชูหาง เราพูดออกไปก็ว่าเป็นการยกหูชูหาง เป็นการข่ม เป็นการอวด เป็นการอวดกิเลส สิ่งนั้นเป็นสิ่งเรื่องโลกภายนอก เรื่องของสังคม เห็นไหม สิ่งนี้ยังกระทบเลย

เราจะย้อนกลับมาเป็นปัจจัตตังกับใจดวงนั้น เป็นปัจจัตตังกับผู้ที่เห็นจริงตามนั้น นี่สิ่งนี้ถือว่าความลับทางชั่วก็ไม่มีในโลก ความลับทางดีก็ไม่มีในโลก แต่เป็นรู้อยู่กับเรา ถึงอยู่กับเรา เราถึงย้อนกลับมารักษาใจเรา ถ้ารักษาใจของเรา เห็นไหม กรรมนี้เป็นเผ่าพันธุ์ เราสร้างคุณงามความดีมา กัมมะที่เป็นอกุศลเป็นเผ่าพันธุ์ของที่ผู้กระทำ สิ่งที่ผู้กระทำเขาก็ต้องการสิ่งนั้นมา สุดท้ายแล้วก็ให้ผลกับผู้ที่กัมมะพันธุ เผ่าพันธุ์ที่ดีนี้ มันก็รอดพ้นสำเร็จลุล่วงไปได้โดยความเรียบร้อย สิ่งนี้เป็นบุญกุศล สิ่งนี้เป็นความภูมิใจ

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกวางไว้ ธรรม ธรรมเป็นกระแสอย่างนี้ ทางวิทยาศาสตร์เขาจะพิสูจน์เขาจะควบคุมขนาดไหนควบคุมกรรมไม่ได้ ควบคุมการเกิดและการตายของจิตไม่ได้ คนเกิดมานี่เกิดมาจากการปฏิสนธิในครรภ์ของมารดา จิตนั้นเกิดมาในครรภ์นั้นเก้าเดือน แล้วมาทำคลอดออกมา หมอนี่เป็นนี้เป็นผู้ที่ประคองชีวิตนี้ให้ราบรื่น ประคองชีวิตนี้ไม่ให้มีความทุกข์เกินไปนัก เพราะว่าเกิดแต่ธรรมชาตินี้มันทุกข์ยากนัก แต่เกิดในห้องคลอดหมอเขามียาช่วยประคองไป

วิทยาศาสตร์ช่วยประคองให้ความเป็นอยู่เราสะดวกสบายขึ้นมาเท่านั้น แต่ไม่สามารถประคองทุกข์ของใจทุกดวงๆ ให้สมประโยชน์ของใจดวงนั้นเป็นไปไม่ได้ ใจทุกๆ ดวงที่มีหัวใจมีทุกข์นี้ต้องเอาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเข้าไปกลืนเข้าไปกิน กลืนกินเข้ามาจนใจนั้นเป็นธรรมล้วนๆ ขึ้นมา จะมีความสุขกับใจดวงนั้น

นี้คือสภาวธรรม สภาวธรรมว่า สัพเพ ธัมมา อนัตตา สภาวะที่มันเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไปในหัวใจของเรา จนถึงที่สุดแล้วเป็นอกุปปธรรม เป็นธรรมทั้งแท่งนะ เอโก ธัมโม ธรรมอันหนึ่งกับใจดวงนั้น ใจดวงนั้นมีธรรมทั้งหมด สภาวธรรมจากเรายืม เราเอาขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เราฟังของครูบาอาจารย์มาแล้วก็เตาะแตะ แล้วก็พยายามก้าวเดินให้ได้อย่างนั้น จนใจนี้เป็นธรรมทั้งแท่งจากใจของเรา ไม่ต้องเชื่อใคร เป็นเรื่องของปัจจัตตัง

เหตุการณ์แบบนี้ถ้าเราคิดขึ้นมาย้อนกลับเข้ามาเป็นปัญญาของเรา เราจะได้ปัญญามหาศาลเลย ปัญญาอันนี้จะให้เราเชื่อกรรมเชื่อคุณงามความดี แล้วเราสร้างคุณงามความดีไป ถึงที่สุดแล้วสิ่งนี้จะเป็นประจักษ์พยานกับใจเรา เอวัง